พระพุทธนรสีห์

ปาง
เป็นพระพุทธรูปปาง มารวิชัย เชียงแสนสิงห์ 1
ลักษณะ
พระพุทธนรสีห์เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย (นั่งขัดสมาธิราบ) ที่มีความงดงามมากองค์หนึ่ง สันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน ระหัตถ์ขวาวางคว่ำบนพระชานุ (เข่า) นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงพื้น (ปางมารวิชัย) ได้รับการยกย่องว่ามีพุทธลักษณะงดงามยิ่งนัก หาพระที่เหมือนได้ยาก
ประวัติ
เป็นพระพุทธรูปสำคัญ 1 ใน 3 องค์ ของเมืองไทย “พระพุทธนรสีห์” ปัจจุบันประดิษฐานบนชั้น 3 ของพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต อันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ไทย
เรื่องราวของพระพุทธนรสีห์เล่าไว้ใน “นิทานโบราณคดี” ที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นผู้นิพนธ์ขึ้น ตามที่ปรากฏสืบเนื่องมาแต่ครั้งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เสด็จไปตรวจราชการเมืองเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2441 ได้เสด็จไปที่วัดพระสิงห์ เมืองเชียงใหม่ ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรูปขัดสมาธิเพชรแบบเชียงแสนองค์หนึ่ง ตั้งไว้บนฐานชุกชีในพระวิหารหลวงวัดพระสิงห์ มีลักษณะงาม จึงตรัสขอเจ้าอินทรวโรรสสุริยวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ในตอนนั้น อัญเชิญลงมาไว้สำหรับทรงสักการบูชาในท้องพระโรงวังที่ประทับในกรุงเทพฯ
ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงสร้างวัดเบญจมบพิตร มีพระราชประสงค์จะใคร่ได้พระพุทธรูปโบราณที่มีลักษณะงาม สำหรับตั้งในศาลาการเปรียญ ซึ่งกะว่าจะทรงสร้างใหม่ มีพระราชดำรัสสั่งให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสืบหา สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงกราบทูลถึงพระพุทธรูปที่ได้ทรงเชิญมาจากเมืองเชียงใหม่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปที่วัง ได้ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรูปองค์นี้ก็ตรัสว่า “พระองค์นี้งาม แปลกจริงๆ” และจึงโปรดเกล้าฯ ให้แห่อัญเชิญพระพุทธรูปไปที่พลับพลาในพระราชวังดุสิต แล้วถวายพระนามว่า “พระพุทธนรสีห์”
ในนิทานโบราณคดีเล่าไว้อย่างน่าสนใจ เริ่มต้นว่า “…เมื่อฉันเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ขึ้นไปตรวจราชการมณฑลพายัพครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑ เวลานั้นยังไม่ได้ทำรถไฟสายเหนือ ต้องไปทางเรือแต่กรุงเทพฯ จนถึงเมืองอุตรดิตถ์ แล้วฉันขึ้นเดินทางบกไปเมืองแพร่ เมืองน่าน เมืองนครลำปาง เมืองลำพูน เดินทางเกือบเดือนหนึ่งจึงถึงเมืองเชียงใหม่ ขากลับลงเรือล่องลำแม่น้ำพิงแต่เมืองเชียงใหม่ลงมาทางเมืองตาก เมืองกำแพงเพชร มาร่วมทางขาไปที่ปากน้ำโพเมืองนครสวรรค์ แต่นั้นก็กลับตามทางเดิมจนถึงกรุงเทพฯ
ฉันเคยได้ยินว่าทางเมืองเหนือทั้งในมณฑลพิษณุโลก อันเคยเป็นเมืองพระร่วง และมณฑลพายัพอันเป็นแหล่งช่าง เชียงแสน มีพระพุทธรูปโบราณอย่างงามๆ มากกว่าทางอื่น คนหาพระพุทธรูปมักเที่ยวเสาะหาทางนั้น นับถือกันว่าต่อเป็นพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิเพชรจึงจะดี ถ้าหาได้พระขัดสมาธิเพชรอย่างย่อมขนาดหน้าตักในระหว่าง ๖ นิ้วจน ๑0 นิ้วด้วยยิ่งดีขึ้น แต่ฉันขึ้นไปครั้งนั้นตั้งใจจะไปเสาะหาพระพุทธรูปที่ลักษณะงามเป็นสำคัญ ไม่เลือกว่าจะต้องเป็นพระนั่งขัดสมาธิเพชรหรือขัดสมาธิราบ ปรารถนาจะใคร่ได้พระขนาดเขื่องหน้าตักราวศอกเศษ เพราะเห็นว่าขนาดนั้นฝีมือช่างทำได้งามกว่าพระขนาดเล็กเช่นเขาหากัน
เมื่อขึ้นไปถึงเมืองอุตรดิตถ์ วันหนึ่งฉันไปเที่ยวที่เมืองทุ่งยั้ง แวะดูวัดพระมหาธาตุอันเป็นวัดโบราณแต่ครั้งสมัยกรุงสุโขทัย และพระเจ้าบรมโกศครั้งกรุงศรีอยุธยาได้ทรงปฏิสังขรณ์ มีพระสถูปมหาธาตุกับพระวิหารหลวงเป็นสิ่งสำคัญอยู่ในวัด พระมหาธาตุองค์เดิมพังมีผู้สร้างใหม่แปลงรูปเสียแล้ว แต่วิหารหลวงยังคงอยู่อย่างที่พระเจ้าบรมโกศทรงปฏิสังขรณ์ ในวิหารหลวงนั้นมีพระพุทธรูปปั้นองค์ใหญ่ขนาดหน้าตักสัก ๘ ศอกตั้งเป็นประธาน เมื่อฉันเข้าไปบูชาเห็นมีพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง วางนอนอยู่ในพระหัตถ์พระประธาน แปลกตา
จึงถามพวกกรมการว่าเหตุไฉนจึงเอาพระพุทธรูปไปวางทิ้งไว้ในพระหัตถ์พระประธานเช่นนั้น เขาเล่าให้ฟังว่าพระพุทธรูปองค์เล็กนั้นเดิมอยู่ที่วัดอื่น ดูเหมือนชื่อว่าวัดวังหมู หรือวัดอะไรฉันจำไม่ได้แน่ แต่เป็นพระมีปาฏิหาริย์อย่างแปลกประหลาด คล้ายกับมีผีพระยามารคอยผจญอยู่เสมอ ถ้าใครไปถวายเครื่องสักการบูชาเมื่อใด ในไม่ช้าก็มักเกิดเหตุวิวาทบาดทะเลาะกันในตำบลนั้น จนคนครั่นคร้ามไม่มีใครกล้าไปบูชา แต่พวกเด็กลูกศิษย์วัดที่เป็นคนคะนองเห็นสนุก พอรู้ว่าจะมีการประชุมชนที่วัดนั้นเช่นบวชนาคเป็นต้น ลอบเอาเครื่องสักการะเช่นหมากเมี่ยงไปถวายพระพุทธรูปองค์นั้น ก็มักเกิดวิวาทบาดทะเลาะกันเนืองๆ
อยู่มาคืนวันหนึ่งพระพุทธรูปองค์นั้นหายไป ต่อมาภายหลังเห็นมานอนอยู่ในพระหัตถ์พระประธานในวิหารหลวงวัดทุ่งยั้ง ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เอามา แต่พวกชาวบ้านก็ไม่มีใครสมัครจะรับเอากลับไปไว้ที่วัดเดิม จึงทิ้งอยู่อย่างนั้น ฉันได้ฟังเล่าเห็นขันกลั้นหัวเราะไม่ได้ สั่งให้เขายกพระองค์นั้นลงมาตั้งดูที่ฐานชุกชีตรงหน้าพระประธาน พอเห็นชัดก็ชอบ ด้วยเป็นพระปางมารวิชัยฝีมือแบบสุโขทัย ทำงามและได้ขนาดที่ฉันหาด้วย จึงว่าแก่พวกกรมการเมืองทุ่งยั้งว่า เมื่อไม่มีใครสมัครจะรับพระพุทธรูปองค์นั้นไปแล้ว ฉันจะขอรับเอาลงมากรุงเทพฯ เขาก็ยอมอนุญาตด้วยยินดี และดูเหมือนจะประหลาดใจที่ฉันไม่เชื่อคำของเขาด้วย
ฉันจุดธูปเทียนบูชาแล้วสั่งให้เชิญพระพุทธรูปองค์นั้นลงมายังที่ทำเนียบจอดเรือในวันนั้น พอค่ำถึงเวลาจะกินอาหาร พวกข้าราชการที่ไปด้วยมากินพร้อมกันตามเคย แต่วันนั้นสังเกตเห็นเขาหัวเราะต่อกระซิกกันแปลกกว่าปรกติ ฉันถามว่ามีเรื่องอะไรขบขันหรือ เขาบอกว่าเมื่อฉันไปวัดพระมหาธาตุ ฝีพายไปเกิดวิวาทชกกันขึ้นที่นั่นคู่หนึ่ง ฉันก็รู้เท่าว่าเขาพากันลงความเห็นว่าเป็นเพราะฉันไปถวายเครื่องสักการบูชาพระพุทธรูปองค์นั้น โดยไม่เชื่อคำพวกกรมการ แต่ฉันกลับเห็นขันที่เผอิญเกิดเหตุเข้าเรื่อง ไม่เห็นเป็นอัศจรรย์อันใด ก็สั่งให้เชิญพระพุทธรูปองค์นั้นลงเรือที่ขึ้นไปส่งกลับลงมากรุงเทพฯ
เมื่อฉันขึ้นไปถึงเมืองเชียงใหม่ วันหนึ่งไปที่วัดพระสิงห์ เห็นเขารวมพระพุทธรูปหล่อของโบราณทั้งที่ดีและชำรุด ตั้งไว้บนฐานชุกชีที่ในวิหารหลวงมากมายหลายสิบองค์ ฉันปีนขึ้นไปเที่ยวพิจารณาดูเห็นพระพุทธรูปขัดสมาธิเพชรแบบเชียงแสนองค์หนึ่งลักษณะงามต้องตาและได้ขนาดที่ฉันปรารถนา ให้ยกลงมาตั้งพิจารณาดูต่างหากก็ยิ่งเห็นงาม จึงขอต่อเจ้าเชียงใหม่เชิญลงมากรุงเทพฯ แล้วไปว่าวานพระพุฒาจารย์ (มา) วัดจักรวรรดิราชาวาส เมื่อท่านยังเป็นที่พระมงคลทิพมุนีให้ช่วยปฏิสังขรณ์ขัดสี เพราะท่านมีช่างสำหรับหล่อและแต่งพระพุทธรูปอยู่ที่วัดนั้น และตัวท่านเองก็ชอบพอกับฉันมาแต่ก่อน
ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงสร้างวัดเบญจมบพิตร มีพระราชประสงค์จะใคร่ได้พระพุทธรูปโบราณที่มีลักษณะงาม สำหรับตั้งในศาลาการเปรียญ ซึ่งกะว่าจะทรงสร้างใหม่ มีพระราชดำรัสสั่งให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสืบหา เมื่อสร้างพระอุโบสถ (ชั่วคราว) ที่วัดเบญจมบพิตรแล้วเสร็จในปีต่อมา จึงอัญเชิญพระพุทธนรสีห์ไปเป็นพระประธาน “ทรงพระราชดำริว่า พระพุทธนรสีห์ เป็นพระพุทธรูปอันมีพระพุทธลักษณะงามยิ่งนัก จะหาเสมอเหมือนได้โดยยาก” ต่อมาเมื่อสร้างพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรแล้วเสร็จ จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธชินราชจำลองมาเป็นพระประธานภายในพระอุโบสถ ปัจจุบันประดิษฐานที่วิหารสมเด็จ ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร
การตีความทางสัญญลักษณ์
ตีความเชิงสัญลักษณ์: พระพุทธนรสีห์
พระพุทธนรสีห์ เป็นพระพุทธรูปสำคัญ 1 ใน 3 ของแผ่นดินไทย ปัจจุบันประดิษฐานในพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต อันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ นับเป็นพระพุทธรูปที่เปี่ยมด้วยสัญลักษณ์ทางศาสนา ประวัติศาสตร์ และอำนาจ ดังนี้
---
๑. สัญลักษณ์แห่งพระพุทธคุณและบารมีเหนือโลก
พระพุทธนรสีห์มีพุทธลักษณะงดงาม เป็นปางมารวิชัย สื่อถึงชัยชนะของธรรมะเหนืออธรรม สื่อให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าเป็น “นรสีห์” หรือ “ราชสีห์แห่งมนุษย์” ที่ไม่มีสิ่งใดมาเหนือพระธรรมได้
> ชื่อ “นรสีห์” ยังเป็นคติราชสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ผู้ปกครองโดยธรรม
๒. สัญลักษณ์แห่งสายสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่น
พระพุทธรูปองค์นี้ถูกอัญเชิญจากวัดพระสิงห์ เมืองเชียงใหม่ โดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตามพระบรมราชโองการของรัชกาลที่ 5 ซึ่งสะท้อนการรวมศูนย์และการประสานอำนาจของรัฐกับวัฒนธรรมท้องถิ่น
---
๓. สัญลักษณ์ของการคัดเลือกที่อิงคุณค่าเชิงวัฒนธรรม
การเลือกพระพุทธรูปโดยเน้น “ลักษณะงามตามศิลป์โบราณ” และต้องผ่านการพินิจพิเคราะห์ด้วยตนเอง แสดงถึงการให้ความสำคัญต่อคุณค่าทางศิลปกรรมโบราณในฐานะมรดกแห่งชาติ ไม่ใช่เพียงวัตถุสักการะ
๔. สัญลักษณ์ของพระราชอำนาจและศรัทธาอันลึกซึ้งในพระพุทธศาสนา
พระพุทธนรสีห์ประดิษฐานอยู่ในพื้นที่ส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ แสดงถึงความผูกพันส่วนตัวระหว่างกษัตริย์กับพระพุทธศาสนา และแสดงให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาเป็น “ศูนย์กลางแห่งธรรมและความมั่นคงของแผ่นดิน”
๕. สัญลักษณ์ของ “นิทาน-อภินิหาร” ในความเชื่อพื้นบ้าน
เรื่องเล่าปาฏิหาริย์ของพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งที่ “มีผีพระยามาร” คอยผจญ แสดงให้เห็นว่าการเลือกพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานนั้น มิใช่พิจารณาเพียงตามตำนาน แต่ต้องผ่านการพินิจพิเคราะห์ด้วยปัญญาและเหตุผล มิหลงงมงายในสิ่งลี้ลับ
สรุป
พระพุทธนรสีห์** จึงเป็นพระพุทธรูปที่รวมคุณค่าเชิงสัญลักษณ์หลายมิติ ทั้งพุทธศิลป์โบราณ ความงามเหนือกาลเวลา พลังทางจิตวิญญาณ การผสานระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่น และความสัมพันธ์แนบแน่นระหว่างพระมหากษัตริย์กับพระพุทธศาสนาในฐานะ “ธรรมราชา” อย่างลึกซึ้ง
> พระพุทธนรสีห์ไม่ใช่เพียงวัตถุศักดิ์สิทธิ์ หากแต่เป็น "ภาพแทนของธรรมะ ศิลปะ และอำนาจแห่งรัฐไทย" ที่อยู่เหนือยุคสมัย