ปฐมบทแห่งพระอาราม

ปฐมบทแห่งพระอาราม จาก “วัดแหลม” สู่ “วัดเบญจมบพิตร”
วัดประจำรัชกาลที่ ๕ มีข้อความในพระบรมราชูทิศตอนหนึ่งว่า
"เพื่อแสดงลำดับรัชกาลในมหาจักรีบรมราชวงศ์"
ก่อนที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามจะปรากฏโฉมด้วยสถาปัตยกรรมหินอ่อนอันวิจิตรตระการตาดังเช่นปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของวัดราษฎร์เล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งแทบจะเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ เอกสารโบราณระบุว่าวัดแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า “วัดแหลม” หรือ “วัดไทรทอง” ซึ่งน่าจะมาจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่ปลายแหลมของสวนที่ต่อกับทุ่งนา และอาจมีต้นไทรทองขนาดใหญ่เป็นที่สังเกตในบริเวณวัด สภาพของวัดในขณะนั้นเป็นเพียงวัดเล็กๆ ไม่ปรากฏสิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์หรือศิลปะใดๆ เป็นที่จดจำ
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของวัดแหลมเกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เมื่อเกิดเหตุการณ์ “กบฏเจ้าอนุวงศ์” แห่งเวียงจันทน์ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๖๙ ในการเตรียมการป้องกันพระนครนั้น กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๒ ทรงได้รับมอบหมายให้เป็นแม่ทัพรักษาพระนคร และได้ทรงเลือกพื้นที่ของวัดแหลมซึ่งตั้งอยู่ชายทุ่งสามเสนเป็นที่ตั้งกองบัญชาการทัพ แม้ว่าท้ายที่สุดกองทัพข้าศึกจะพ่ายแพ้ไปก่อนที่จะยกมาถึงพระนคร แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นก็ได้จารึกความสำคัญให้กับวัดแห่งนี้เป็นครั้งแรก
ภายหลังเสร็จสิ้นการปราบกบฏ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พร้อมด้วยพระเชษฐภคินี พระขนิษฐภคินี และพระกนิษฐภาดา ร่วมเจ้าจอมมารดาเดียวกันอีก ๔ พระองค์ ได้แก่ กรมพระพิทักษ์เทเวศร, กรมหลวงภูวเนตรนรินฤทธิ์, พระองค์เจ้าหญิงอินทนิล และพระองค์เจ้าหญิงวงศ์ ได้ทรงร่วมกันมีพระศรัทธาปฏิสังขรณ์วัดแหลมขึ้นเป็นครั้งแรก และได้ทรงสร้างพระเจดีย์ ๕ องค์เรียงรายไว้เป็นพระอนุสรณ์ที่หน้าวัด ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ จึงได้พระราชทานนามวัดแห่งนี้ใหม่ว่า “วัดเบญจบพิตร” อันมีความหมายว่า “วัดของเจ้านาย ๕ พระองค์” เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ทรงปฏิสังขรณ์
ประวัติศาสตร์ของวัดได้พลิกผันอีกครั้งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อพระองค์ทรงมีพระราชดำริที่จะขยายพระนครและสร้างพระราชอุทยานเพื่อเป็นที่ประทับพักผ่อนพระราชอิริยาบถ ทรงเล็งเห็นว่าบริเวณระหว่างคลองผดุงกรุงเกษมกับคลองสามเสนเป็นทำเลที่มีอากาศดี จึงทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดซื้อที่ดินเพื่อสร้าง “สวนดุสิต” ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๔๑ ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นพระราชวังดุสิต การสร้างสวนดุสิตนี้ได้กินอาณาบริเวณเข้าไปในพื้นที่ของวัดร้าง ๒ แห่ง และยังใกล้กับวัดเบญจบพิตรซึ่งอยู่ในสภาพทรุดโทรมมากในขณะนั้น ตามโบราณราชประเพณีที่ว่าที่ดินซึ่งเป็นวิสุงคามสีมาแล้วจะนำไปใช้เพื่อการอื่นมิได้ หากมีความจำเป็นก็จะต้องกระทำการ “ผาติกรรม” คือการสร้างทดแทนให้ดียิ่งขึ้น นี่จึงเป็นปฐมเหตุอันสำคัญที่นำมาสู่การสถาปนาวัดเบญจมบพิตรขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม ให้มีความวิจิตรงดงามสมพระเกียรติยศ
การสถาปนาครั้งนี้มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่ในการเปลี่ยนชื่อจาก “วัดเบญจบพิตร” เป็น “วัดเบญจมบพิตร” การเติมอักษร “ม” เข้าไปเพียงตัวเดียว ได้เปลี่ยนความหมายจาก “วัดของเจ้านาย ๕ พระองค์” มาเป็น “วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๕” โดยสมบูรณ์ การเปลี่ยนแปลงนี้มิใช่เพียงเรื่องของภาษา แต่เป็นการประกาศถึงการเปลี่ยนสถานะของพระอาราม จากวัดที่สร้างโดยเจ้านายกลุ่มหนึ่ง มาเป็นพระอารามหลวงประจำรัชกาลที่สะท้อนถึงพระราชอำนาจและพระบารมีขององค์พระมหากษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งสอดคล้องอย่างยิ่งกับกระบวนการปฏิรูปการปกครองและสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในยุคสมัยนั้น ที่อำนาจทั้งปวงได้ถูกรวบเข้ามาสู่ศูนย์กลางภายใต้พระบรมเดชานุภาพ