อัญมณีแห่งสถาปัตยกรรม: พระอุโบสถและพระวิหารคด

อัญมณีแห่งสถาปัตยกรรม: พระอุโบสถและพระวิหารคด
ความวิจิตรตระการตาอันเป็นที่เลื่องลือของวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามนั้น มีศูนย์กลางอยู่ที่พระอุโบสถและหมู่พระวิหารคด ซึ่งเป็นผลงานรังสรรค์จากพระอัจฉริยภาพของ “สมเด็จครู” หรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้ทรงได้รับการยกย่องให้เป็น “นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม” พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงไว้วางพระราชหฤทัยในฝีพระหัตถ์ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เป็นอย่างยิ่ง ดังที่ปรากฏในพระราชหัตถเลขาที่ทรงมีถึงพระองค์ว่า “...เธอได้เป็นผู้นั่งอยู่ในหัวใจของฉันเสียแล้ว ในเรื่องทำดีไซน์เช่นนี้...” พระราชดำรัสดังกล่าวเปรียบประดุจเครื่องยืนยันถึงบทบาทอันสำคัญยิ่งของพระองค์ในการออกแบบและควบคุมการก่อสร้างพระอารามแห่งนี้ทั้งหมด
ศิลปะแห่งพระอุโบสถหินอ่อน
พระอุโบสถได้รับการออกแบบอย่างยอดเยี่ยมในลักษณะสถาปัตยกรรมไทยทรงจตุรมุข มีหลังคาซ้อนกันถึง ๕ ชั้น ลดหลั่นอย่างงดงาม แต่สิ่งที่สร้างความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์จนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก คือการที่ผนังด้านนอกทั้งหลังประดับด้วยหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สั่งเข้ามาจากเมืองคาร์รารา ประเทศอิตาลี อันเป็นแหล่งหินอ่อนที่ดีที่สุดในโลก ทำให้พระอารามแห่งนี้ได้รับสมัญญานามว่า “The Marble Temple” การผสมผสานโครงสร้างสถาปัตยกรรมไทยอันอ่อนช้อย เช่น ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ที่ลงรักปิดทองประดับกระจกอย่างวิจิตร เข้ากับวัสดุอันหรูหราจากตะวันตกเช่นนี้ ถือเป็นการสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ที่สมบูรณ์แบบและสง่างามอย่างที่สุด
สัญญะแห่งอำนาจบนหน้าบัน
![]() |
ความหมายเชิงสัญลักษณ์อันลึกซึ้งได้ถูกประทับไว้บนหน้าบันของพระอุโบสถและพระวิหารคด การจัดวางตราสัญลักษณ์เหล่านี้สะท้อนถึงโครงสร้างการปกครองและลำดับชั้นแห่งอำนาจในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้อย่างแยบยล
๑. หน้าบันพระอุโบสถ ในฐานะหัวใจของพระอาราม หน้าบันทั้งสี่ทิศของพระอุโบสถประดับด้วยภาพจำหลักพระราชลัญจกรประจำพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งใช้ในการพระราชทานพระบรมราชโองการและในพระราชกิจต่างๆ เปรียบดังองค์พระมหากษัตริย์ผู้เป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจทั้งปวง
๒. ด้านหน้า (ทิศตะวันออก) เป็นรูป พระนารายณ์ทรงครุฑ ถอดแบบจากพระราชลัญจกร “พระครุฑพ่าห์”
๓. ด้านหลัง (ทิศตะวันตก) เป็นรูป อุณาโลมในบุษบก ถอดแบบจากพระราชลัญจกร “มหาโองการ”
๔. ด้านเหนือ เป็นรูป ช้างไอยราพตสามเศียรเชิญบุษบก ถอดแบบจากพระราชลัญจกร “ไอยราพต”
๕. ด้านใต้ เป็นรูป จักรรถ ถอดแบบจากพระราชลัญจกร “จักรรถ”
๖. หน้าบันพระวิหารคด พระวิหารคดซึ่งโอบล้อมพระอุโบสถไว้นั้นเปรียบเสมือนหน่วยงานราชการทั้งปวงที่อยู่ภายใต้พระราชอำนาจ ดังนั้น หน้าบันทั้ง ๑๐ ด้านจึงประดับด้วยตราประจำกระทรวงต่างๆ ที่มีอยู่ในขณะนั้น เช่น ตราราชสีห์ของกระทรวงมหาดไทย, ตราคชสีห์ของกระทรวงกลาโหม, ตราบัวแก้วของกระทรวงการต่างประเทศ เป็นต้น การจัดวางในลักษณะนี้เป็นการจำลองโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินแบบรวมศูนย์อำนาจมาไว้ในรูปแบบของสถาปัตยกรรมอย่างเป็นรูปธรรม
ความวิจิตรภายในและ “๘ จอมเจดีย์แห่งสยาม”
ภายในพระอุโบสถนั้นงดงามไม่แพ้ภายนอก ผนังเหนือกรอบหน้าต่างขึ้นไปจรดเพดานประดับด้วยภาพเขียนลายไทยเทพนมทรงพุ่มข้าวบิณฑ์สีทองอร่ามบนพื้นสีน้ำเงินเข้ม เพดานล่องชาดประดับดาวกระจายและโคมไฟระย้าที่สั่งจากประเทศเยอรมนี แต่สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือภาพจิตรกรรมฝาผนังในช่องคูหา (หน้าต่างทึบ) ทั้ง ๘ ช่อง ซึ่งเป็นภาพวาด “จอมเจดีย์” หรือพระสถูปเจดีย์องค์สำคัญ ๘ องค์จากทั่วทุกภูมิภาคของสยาม
ภาพเจดีย์ทั้ง ๘ นี้มิใช่เป็นเพียงการรวบรวมพุทธสถานอันศักดิ์สิทธิ์และงดงามเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็น “แผนที่เชิงสัญลักษณ์” ที่ประกาศขอบเขตพระราชอาณาจักรสยามตามแนวคิดรัฐชาติสมัยใหม่ การคัดเลือกเจดีย์องค์สำคัญจากดินแดนต่างๆ เช่น พระธาตุหริภุญชัยจากมณฑลพายัพ (ภาคเหนือ) และพระธาตุพนมจากมณฑลลาวพวน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ซึ่งในอดีตเคยมีสถานะเป็นประเทศราชหรือหัวเมืองชายขอบ มาประดิษฐานไว้ในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของวัดประจำรัชกาล จึงเป็นการ “ประกาศอธิปไตยทางวัฒนธรรม” และ “การผลิตซ้ำทางอำนาจ” ที่ผนวกรวมประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ของท้องถิ่นต่างๆ ให้เข้ามาอยู่ภายใต้ประวัติศาสตร์ชาติที่มีกรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางอย่างสมบูรณ์