ดวงหทัยแห่งพระอาราม : พระพุทธชินราช

ดวงหทัยแห่งพระอาราม : พระพุทธชินราช

การสร้างพระพุทธชินราช

        เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริที่จะสร้างพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรให้มีความวิจิตรงดงามเป็นพิเศษนั้น ก็ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะอัญเชิญพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองอันงดงามที่สุดมาประดิษฐานเป็นพระประธาน พระองค์ทรงรำลึกถึงความงามอันหาที่เปรียบมิได้ของ “พระพุทธชินราช” ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเคยทอดพระเนตรเมื่อครั้งตามเสด็จพระราชบิดา อย่างไรก็ตาม ด้วยทรงตระหนักดีว่าพระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปที่เคารพสักการะและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพิษณุโลกและพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ การจะอัญเชิญองค์จริงมานั้นย่อมสร้างความเดือดร้อนโทมนัสให้แก่ประชาชนเป็นอันมาก ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันเปี่ยมล้น จึงทรงตัดสินพระทัยที่จะใช้วิธี “จำลอง” พระพุทธชินราชขึ้นใหม่ให้มีขนาดและพุทธลักษณะเหมือนองค์จริงทุกประการ เพื่อเป็นเครื่องแสดงให้ประจักษ์ว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี” และช่างฝีมือแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ก็มีความสามารถไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าช่างในอดีต
 
        ภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ได้เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ โดยทรงมอบหมายให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอำนวยการในกรุงเทพฯ และมีพระกระแสรับสั่งให้พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร (เชย กัลยาณมิตร) ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลก เป็นผู้ประสานงานและอำนวยความสะดวก ณ เมืองพิษณุโลก ส่วนคณะช่างนั้น มีหลวงประสิทธิปฏิมา (ม.ร.ว. เหมาะ ดวงจักร) จางวางช่างหล่อขวา เป็นหัวหน้าคณะช่างผู้รับผิดชอบการปั้นหุ่นและควบคุมการหล่อ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระองค์ผู้สถาปนาพระอาราม

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ

กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

พระประสิทธิ์ปฏิมา (ม.ร.ว.เหมาะ ดวงจักร)

จางวางช่างหล่อขวา

 
     กระบวนการสร้างพระพุทธชินราช เต็มไปด้วยความท้าทายและต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ชั้นสูง บันทึกจากเอกสารสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชหัตถเลขาและโทรเลขที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีโต้ตอบกับเจ้าพนักงาน เผยให้เห็นถึงเบื้องหลังการทำงานที่มิได้ราบรื่นเสมอไป พระองค์ทรงติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิดประดุจทรงเป็นผู้บริหารโครงการด้วยพระองค์เองผ่านเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น คณะช่างต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ ตั้งแต่การเตรียมดินปั้นหุ่นซึ่งต้องประสบกับปัญหาอากาศที่เย็นและชื้นของเมืองพิษณุโลก ทำให้ดินแห้งไม่ทันตามกำหนด ไปจนถึงปัญหาทางเทคนิคในการหล่อ เช่น การกะปริมาณทองสำริดซึ่งทำจากปืนใหญ่โบราณที่ทรงพระราชทานไปนั้นผิดพลาด เนื่องจากไม่มีผู้ใดมีประสบการณ์หล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่เช่นนี้มานานกว่า ๕๐ ปี ทำให้ต้องเททองถึงสองครั้งจึงจะสำเร็จบริบูรณ์ 
      จุดสำคัญที่สุดของโครงการนี้คือพระราชพิธีเททองหล่อซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินโดยรถไฟไปยังเมืองพิษณุโลก และทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเททองด้วยพระองค์เองในวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ (ร.ศ. ๑๒๐) ท่ามกลางพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชนที่มาร่วมในพิธีอย่างเนืองแน่น การเสด็จฯ ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญอย่างยิ่งที่ทรงมีต่อโครงการนี้ เมื่อหล่อสำเร็จแล้ว การอัญเชิญองค์พระซึ่งมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากจากเมืองพิษณุโลกลงมายังพระนครก็เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่ยิ่งใหญ่ พระยาชลยุทธโยธินทร์ ผู้บัญชาการกรมทหารเรือในขณะนั้น ได้กราบทูลขอรับอาสาจัดการขนส่งองค์พระซึ่งแยกเป็นชิ้นส่วนลงเรือมายังกรุงเทพฯ และนำมาตกแต่งเพิ่มเติมที่โรงหล่อของกรมทหารเรือ ซึ่งมีเครื่องมือที่ทันสมัยและสามารถระดมช่างฝีมือจำนวนมากทำงานได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
สายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ นพรัตน์ราชวราภรณ์
 
 
    ในที่สุด เมื่อตกแต่งและปิดทองจนงดงามสมบูรณ์แล้ว ได้มีพระราชพิธีอัญเชิญพระพุทธชินราช มาประดิษฐาน ณ พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ โดยจัดเป็นกระบวนแห่ทางชลมารคอย่างมโหฬาร มีเรือพระที่นั่งนำขบวนและเรือของพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชนเข้าร่วมในกระบวนเป็นจำนวนมาก ก่อนจะอัญเชิญขึ้นจากเรือที่ท่าหน้าวัดเบญจมบพิตรเข้าสู่พระอุโบสถ เป็นที่ปลาบปลื้มปีติยินดีของพสกนิกรโดยถ้วนหน้า จึง “ทรงเปลื้องสายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ นพรัตน์ราชวราภรณ์ ซึ่งกำลังทรงอยู่นั้น ถวายพระพุทธชินราชเป็นพุทธบูชา” ดังความในพระราชนิพนธ์เรื่องพระราชปรารภเรื่องพระพุทธชินราช ความตอนหนึ่งว่า
“...ครั้นเมื่อพระพุทธชินราชถึงท่าน่าวัดแล้ว ได้เชิญขึ้นจากเรือเวลา ๕ โมงครึ่ง ได้ดำเนินรถขึ้นตามราง ประดิษฐานพระพุทธชินราชบนแท่นฐานในพระอุโบสถ เปนการสำเร็จโดยความสดวกดีหามีเหตุการอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ เปนที่ชื่นชมยินดี ด้วยมีความวิตกอยู่ว่าการทั้งปวงตั้งแต่ปั้นแลหล่อพระพุทธชินราชมา ถ้าหากว่าไม่งามดีได้ดังประสงค์หรือมีเหตุการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เปนอันตรายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดขึ้น ก็จะเปนที่โทมนัศเสียใจ แลเปนที่รังเกียจของประชุมชนสืบไปภายน่า การซึ่งเปนไปดังเช่นกล่าวมานี้ ย่อมให้เปนที่เกิดความปีติโสมนัศเปนอันมาก ครั้นเมื่อรื้อตะพานเสร็จแล้ว ได้เปลื้องสายสพายนพรัตนราชวราภรณ์ ถวายทรงพระหัดถ์พระพุทธชินราชเปนพุทธบูชา ...”
 

ผ้าทิพย์ตาดคลุมฐานพระพุทธชินราช

       ดังปรากฏธรรมเนียมการถวายผ้าทิพย์ตาดคลุมฐานพระพุทธรูป ในคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดให้จำลองพระพุทธชินราชสำหรับเป็นพระพุทธรูปประธานของวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ครั้นวันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ เป็นฤกษ์ปิดทองพระพุทธชินราชแล้ว ทรงมีพระราชดำริว่า “...พระพุทธรูปอันงามมีผ้าไปหุ้มห่อเสีย...” ครั้งนั้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวรเสรษฐสุดา ถวายแพรคาดสีนวลซึ่งเป็นพระภูษาในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงนำไปคล้องไว้ที่นิ้วพระหัตถ์ และผ้าสะพักตาดสำหรับทรงพระพุทธรูปนั้น จึงได้นำมาประดับไว้เป็นผ้าทิพย์ที่ฐาน นับแต่นั้นมา ปัจจุบัน ผ้าตาดคลุมฐานพระพุทธชินราชเดิมนั้นชำรุดเสียหาย ทางวัดจึงมีดำริให้จำลองผ้าตาดขึ้นใหม่ถวายเป็นพุทธบูชา


     พระพุทธชินราช วัดเบจมบพิตร มีขนาดหน้าตัก ๕ ศอก คืบ ๕ นิ้ว ใช้ทองคำแท้ในการหล่อ มีน้ำหนักทองคำที่ใช้หล่อหนัก ๓,๙๔๐ ชั่ง (นับเป็นพระพุทธรูปทองคำ องค์ที่หนักมากเป็นอันดับสองของประเทศไทย รองจากพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร หรือ หลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตร) รัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินทรงเททองหล่อเป็นส่วนๆ 
   พระพุทธชินราช  วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๑๙๐๐ ตรงกับรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย พร้อมกับพระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา และพระเหลือ เป็นพระพุทธรูปสำริดมิได้มีการลงรักปิดทองตั้งแต่แรกสร้าง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๑๔๖ สมเด็จพระเอกาทศรถได้เสด็จแปรพระราชฐานมายังเมืองพิษณุโลกและพระราชดำเนินมานมัสการ พร้อมทั้งโปรดให้มีการนำเครื่องราชูปโภคมาตีแผ่เป็นทองคำเปลวสำหรับปิดทองพระพุทธชินราช ครั้งนั้นจึงถือเป็นการลงรักปิดทองครั้งแรก ต่อมายังมีการลงรักปิดทองอีก ๒ ครั้งใน พ.ศ. ๒๔๔๔ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
     สำหรับซุ้มเรือนแก้ว (วัดเบญจมบพิตร) สร้างขึ้นภายหลัง โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ทำถวาย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๕ แต่ช่างทำไม่งาม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขใหม่สวยงามตามที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ทำจากไม้สักทองปิดด้วยแผ่นทองคำแท้
 

เกร็ดสำคัญแห่งพระอาราม

พระบรมราชสรีรางคารพระพุทธเจ้าหลวง

     พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกธรรมเนียมการลอยพระบรมราชสรีรางคาร และโปรดให้เชิญพระบรมราชสรีรางคาร ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มาประดิษฐาน ณ รัตนบัลลังก์พระพุทธชินราช ภายในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ตามพระราชประสงค์ของพระพุทธเจ้าหลวง จึงกลายเป็นธรรมเนียมในการเชิญพระบรมราชสรีรางคาร ไปประดิษฐานในสุสานหลวงหรือสถานที่อันควรแทน โดยเจ้าพนักงานจะเชิญพระบรมราชสรีรางคารจากสถานที่ที่พักไว้แล้วตั้งขบวนพระบรมราชอิสริยยศไปยังสถานที่บรรจุอันเหมาะสม
      พระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) บรรจุใต้ฐานพระพุทธชินราช  วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม มีความเข้าใจว่าพระบรมราชสรีรางคารบรรจุไว้ที่สุสานหลวง ซึ่งความเข้าใจดังกล่าวนั้นเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง แต่ที่ถูกต้องตามราชประเพณีคือ พระบรมราชสรีรางคารของพระมหากษัตริย์นับตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ จนถึงปัจจุบัน บรรจุอยู่ใต้พุทธบัลลังก์พระประธานในพระอุโบสถวัดสำคัญในรัชกาล ไม่ได้บรรจุรวมกับพระบรมวงศานุวงศ์ในสุสานหลวง