พระราชปณิธานแห่งพระปิยมหาราช  

พระราชปณิธานแห่งพระปิยมหาราช  

พระราชปณิธานแห่งพระปิยมหาราช 

ศูนย์กลางแห่งศิลปะและวิทยาการ

            การสถาปนาวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามขึ้นใหม่ทั้งพระอารามนั้น มิได้เป็นเพียงการสร้างศาสนสถานเพื่อการผาติกรรมตามโบราณราชประเพณีเท่านั้น แต่ยังเปี่ยมไปด้วยพระราชปณิธานอันยิ่งใหญ่และลึกซึ้งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมุ่งหวังให้พระอารามแห่งนี้เป็นศูนย์กลางแห่งศิลปะและวิทยาการที่ก้าวล้ำนำสมัย พระราชประสงค์หลัก ๔ ประการอันเป็นหัวใจของการสร้างวัดแห่งนี้ ประกอบด้วย:
        ๑. เพื่อเป็นราชานุสรณ์ประจำรัชกาล พระองค์มีพระราชประสงค์ให้วัดแห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานอันยั่งยืนแห่งรัชสมัยของพระองค์ ดังปรากฏในการพระราชทานนาม “เบญจมบพิตร” ที่หมายถึงวัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๕ และที่สำคัญที่สุดคือ ทรงแสดงพระราชประสงค์ไว้ว่าเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว ให้นำพระบรมราชสรีรางคาร (เถ้ากระดูก) มาบรรจุไว้ภายใต้รัตนบัลลังก์แห่งองค์พระพุทธชินราช พระประธานในพระอุโบสถ เพื่อให้พระอารามแห่งนี้เป็นที่สถิตแห่งดวงพระวิญญาณของพระองค์สืบไป รวมไปถึงพระบรมราชูทิศที่แผ่นดินวิสุงคามสีมา วัดเบญจมบพิตร ตอนหนึ่งว่า “เพื่อแสดงลำดับรัชกาล ในมหาจักรกรีบรมราชวงศ์”
        ๒. เพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งพุทธศิลป์ (Museum) ทรงมีพระราชดำริที่ปฏิวัติแนวคิดการสร้างวัดในยุคนั้น คือการรวบรวมพระพุทธรูปโบราณอันงดงามจากแว่นแคว้นต่างๆ ทั้งในและนอกพระราชอาณาจักร มาประดิษฐานไว้ในพระวิหารคด เพื่อให้เป็นดั่ง “มิวเซียม” หรือพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ให้มหาชนได้ศึกษาแบบอย่างและพัฒนาการของพุทธศิลป์ในแต่ละยุคสมัย 
        ๓. เพื่อเป็นวิทยาลัยสงฆ์ (College) ทรงมีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่จะให้วัดเบญจมบพิตรเป็นสถาบันการศึกษาชั้นสูง หรือ “คอเลซ” สำหรับพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย เพื่อให้เป็นแหล่งศึกษาทั้งพระปริยัติธรรมและวิชาการสมัยใหม่ อันเป็นส่วนหนึ่งของพระราชดำริในการปฏิรูปการศึกษาของคณะสงฆ์ให้ทัดเทียมนานาชาติ 
        ๔. เพื่อสืบสานพระราชประเพณี การสร้างวัดขึ้นทดแทนวัดเดิมที่ถูกรื้อถอนไปนั้น เป็นการดำเนินตามหลัก “ผาติกรรม” ซึ่งแสดงถึงการที่ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกผู้เคารพในโบราณราชประเพณีอย่างเคร่งครัด แม้ในขณะที่ทรงกำลังนำพาสยามประเทศไปสู่ความทันสมัย 
       พระราชประสงค์ทั้งสี่ประการนี้เชื่อมโยงกันอย่างมีนัยสำคัญ การทรงนำแนวคิดสถาบันแบบตะวันตก เช่น “พิพิธภัณฑ์” และ “วิทยาลัย” เข้ามาผสมผสานในพื้นที่ของ “วัด” ซึ่งเป็นสถาบันตามจารีตประเพณี สะท้อนถึงพระอัจฉริยภาพในการสังเคราะห์วัฒนธรรมได้อย่างกลมกลืน พระองค์มิได้ทรงสร้างเพียงวัด แต่กำลังทรงสร้าง “สถาบันทางวัฒนธรรมและการศึกษา” ที่ทันสมัยในบริบทแบบไทย เพื่อประกาศให้โลกประจักษ์ว่า สยามคือชาติอารยะที่สามารถปรับตัวเข้ากับโลกสมัยใหม่ได้ โดยมิต้องละทิ้งรากเหง้าทางวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองของตน
       ในอีกมิติหนึ่ง การสถาปนาวัดเบญจมบพิตรฯ ยังสามารถตีความได้ในฐานะ “สื่อสัญญะ” (Symbolic Communication) ของการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ ในช่วงเวลาที่สยามกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากลัทธิจักรวรรดินิยม การสร้างพระอารามที่ยิ่งใหญ่และงดงามเช่นนี้ เป็นการแสดงออกถึงพระบารมีและเสถียรภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นการรวบรวมศิลปะและสัญลักษณ์จากดินแดนต่างๆ เข้ามาไว้ ณ ศูนย์กลาง เพื่อตอกย้ำความเป็นปึกแผ่นของชาติ ดังนั้น วัดเบญจมบพิตรฯ จึงมิใช่เพียงโครงการก่อสร้างทางศาสนา แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการทางการเมืองและวัฒนธรรม ที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือการสถาปนาอัตลักษณ์ของชาติไทย ที่เป็นเอกภาพ ทันสมัย และมั่นคงภายใต้พระบรมโพธิสมภาร